หน้าแรก บทความ ไลฟ์สไตล์ สุขภาพและความงาม เช็กด่วน! 9 โรคหรืออาการต้องห้ามที่ห้ามขับรถมีอะไรบ้าง?

เช็กด่วน! 9 โรคหรืออาการต้องห้ามที่ห้ามขับรถมีอะไรบ้าง?

เช็กด่วน! 9 โรคหรืออาการต้องห้ามที่ห้ามขับรถมีอะไรบ้าง?
รถของคุณผ่อนหมดแล้วหรือยัง?
หมายเหตุ ผ่อนรถอยู่ก็ขอกู้ได้ เพียงคุณมีประวัติชำระที่ดี … เงินติดล้อก็รับ
กรุณากรอกชื่อภาษาไทย
กรุณากรอกนามสกุลภาษาไทย
กรุณากรอกเฉพาะตัวเลข

การกดยืนยันข้อมูล แสดงว่าคุณอ่านและรับทราบ นโยบายความเป็นส่วนตัว เรียบร้อยแล้ว กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 14 - 24% ต่อปี

ต่อให้ประเทศไทยจะเป็นเมืองรถติด แต่ใครหลายคนก็อยากซื้อรถเป็นของตัวเองเพราะรถยนต์ทำให้การเดินทางเป็นสะดวกและส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุรถชน ทั้งอุบัติเหตุที่มาจากความประมาท เช่น เมาแล้วขับขับรถตอนฝนตก หรืออุบัติเหตุที่มาจากสุขภาพของผู้ขับขี่ ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ดังนั้น มาดูเลยว่า โรคหรืออาการที่ห้ามขับรถ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน มีโรคอะไรบ้าง?

โรคประจำตัวอะไรบ้าง ที่ห้ามขับรถ

ทำไมต้องมีโรคหรืออาการต้องห้ามที่ห้ามขับรถ?

เวลาคุณต่ออายุใบขับขี่หรือทำใบขับขี่ใหม่ ทางกรมการขนส่งมักจะขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำใบขับขี่เอาไว้ในเงื่อนไข เพราะความเจ็บป่วยทำให้สมรรถภาพร่างกายและสภาวะการตัดสินใจของผู้ขับขี่ลดลง จึงมีโอกาสสูงที่การขับรถครั้งนั้นจะเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้กรมการขนส่งทางบกได้ออกมาให้ข้อมูลใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่อง “โรคประจำตัวหรืออาการต้องห้ามที่ห้ามขับรถ” เอาไว้ด้วยกัน 9 ประเภท คือ

โรคลมชัก โรคเบาหวาน ขับรถได้ไหม ผิดกฎหมายหรือเปล่า

โรคลมชัก

ถ้าถามว่าโรคลมชักสามารถขับรถได้ไหม? คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะว่าโรคลมชักเกิดจากความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในเซลล์สมอง ถ้ามีสิ่งกระตุ้นอย่างความเครียดหรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ขณะขับรถ ก็จะทำให้ผู้ขับขี่มีอาการชักหรือเกร็ง จนเสียการควบคุมตนเองและเกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้นในที่สุด

โรคเกี่ยวกับสายตา

โรคเกี่ยวกับสายตาที่ห้ามขับรถโรคที่ทำให้การมองเห็นของผู้ขับขี่บกพร่อง เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ทำให้ผู้ขับขี่มีมุมมองสายตาที่แคบลง เวลามองสัญญาณไฟจราจรจะพร่ามัว หรือจอประสาทตาเสื่อม ทำให้มองเห็นเส้นทางในการขับรถตอนกลางคืนได้ไม่ชัด จึงมีโอกาสที่ผู้ขับขี่จะประสบอุบัติเหตุสูง

อาการหลงลืม

อาการหลงๆ ลืมๆ มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ซึ่งอาการหลงลืมนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจขณะขับรถอีกด้วย เช่น ขับรถออกนอกเส้นทางไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เกิดกระบวนการตัดสินใจที่สับสน ไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหนต่อ ควรเลี้ยวซ้าย ขวา ตรงไป หรือถอยหลัง เมื่อมีความลังเลขณะขับรถก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุรถชน เช่น จะเลี้ยวซ้ายแต่ลืมว่าต้องเปิดไฟเลี้ยวรถยนต์ด้วย เลยทำให้ถูกรถคันอื่นขับรถชนท้าย

มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ ขับรถได้ไหม

โรคหัวใจ

อย่างที่บอกไปว่าเมืองไทยเป็นเมืองรถติด ถ้าเจอรถติดนานๆ อาจทำให้ผู้ขับขี่เกิดความเครียด กดดันตัวเอง หรือเจอรถยนต์คันอื่นปาดหน้าแล้วผู้ขับขี่ต้องหักเลี้ยวรถจนสุดท้ายขับรถชนเสาไฟฟ้า ทำให้ผู้ขับขี่อาจเกิดอาการตกใจเฉียบพลัน และมีโอกาสมากที่ทำให้โรคหัวใจจะกำเริบระหว่างขับรถ นี่จึงเป็นเหตุที่คนมีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจควรห้ามขับรถนั่นเอง 

โรคเบาหวานระยะควบคุมไม่ได้

ผู้ป่วยเบาหวานขับรถได้ไหม คำตอบคือ “ผู้ป่วยเบาหวานในระยะควบคุมไม่ได้” ไม่สามารถขับรถได้ และพราะว่าเวลาที่ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำลง จะทำให้ผู้ขับขี่หน้ามืด ใจสั่น เป็นลม หรือหมดสติ เลยมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถได้ แต่ในผู้ป่วยเบาหวานที่อาการไม่รุนแรงมากจำเป็นต้องขับรถ ควรเตรียมน้ำหวานหรือลูกอมเอาไว้ ป้องกันเวลาที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดในสมองคือภาวะที่สมองขาดเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ เมื่อเซลล์สมองขาดออกซิเจนจึงทำให้สมองตาย ถ้าผู้ขับขี่มีโรคหรืออาการภาวะสมองขาดเลือดขณะขับรถก็จะทำให้ความไวต่อการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ลดลง เช่น เปลี่ยนเกียร์ไม่ทัน บังคับพวงมาลัยไม่ได้ สุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุรถชน 

โรคพาร์กินสัน

โรคพาร์กินสันคือโรคที่เกิดจากความเสื่อมบริเวณสมองส่วนกลางและระบบประสาท โดยมีอาการที่เด่นชัดคือ สั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่จะทำให้สมรรถภาพในการบังคับรถลดลง เช่น บังคับพวงมาลัยไม่มั่นคง หรือหากอยู่ในระยะที่รุนแรงมากๆ อาจเกิดภาพหลอนระหว่างขับรถได้เช่นกัน 

ข้ออักเสบ ไขข้อเสื่อม

โรคข้ออักเสบหรือไขข้อเสื่อมนับเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่รถเป็นอย่างมาก เช่น เหยียบเบรครถยนต์หรือคันเร่งไม่ได้เรื่องจากปวดข้อเข่า หรือหันมองกระจกหลังหรือกระจกข้างได้ลำบากเพราะกระดูกคอเสื่อม เมื่อร่างกายเคลื่อนไหวไม่ถนัด ก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุระหว่างขับรถได้

กินยาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม

อาการป่วยบางประเภทที่ต้องกินยาบรรเทาอาการ แล้วยานั้นมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน สับสน หรือมึนงง อาจทำให้ผู้ขับขี่มีประสิทธิภาพในการบังคับรถลดลง หรือตอบสนองต่อเหตุการณ์ตรงหน้าช้าลง เช่น เหยียบเบรครถไม่ทันแล้วรถแหกโค้ง หรือเข้าใจว่าเปิดไฟเลี้ยวจึงเลี้ยวรถ ซึ่งแน่นอนว่าความสับสนอย่างนี้จะตามมาด้วยอุบัติเหตุรถชนที่ไม่คาดคิด ร้ายที่สุดอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้เลย

จะเห็นว่า บางโรคก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่ากรมการขนส่งจะจัดอยู่ในโรคที่ห้ามขับรถ แต่ถ้าคุณมีความจำเป็นจะต้องเดินทางจริงๆ เงินติดล้อแนะนำว่าควรหาคนมาช่วยขับรถจะดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยระหว่างสัญจรไปมา แต่ถ้าอยากได้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกระดับ การซื้อประกันรถยนต์เอาไว้ถือเป็นเรื่องดี ยิ่งเป็นประกันรถชั้น 2+ ที่ราคาไม่ถึง 6,000 บาท ผ่อนได้สบายๆ 0% นาน 6  เดือน ก็นับเป็นการคุ้มครองที่คุ้มค่ามาก  

สรุป 

และนี่คือ 9 โรคต้องห้ามที่กรมการขนส่งทางบกระบุเอาไว้ว่าห้ามขับรถ โดยจุดประสงค์หลักเพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นบนท้องถนน แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ต่อให้ขับรถตามกฎหมายจราจรแค่ไหน ถ้าคันอื่นฝ่าฝืนข้อห้ามยังไงก็หนีไม่พ้น ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยคุ้มครองคุณเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนคือ “ประกันรถยนต์” ซึ่งเงินติดล้ออยากบอกว่ามีประกันรถยนต์เอาไว้จะทำให้คุณอุ่นใจในการขับรถมากกว่าเดิมแน่นอน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  • ติดต่อโดยตรงได้ที่เงินติดล้อทุกสาขาใกล้บ้านท่าน
  • Facebook Inbox เงินติดล้อ: facebook.com/messages/t/ngerntidlor
  • โทรเข้า Call Center เงินติดล้อ: 088-088-0880
  • หรือกรอกข้อมูลด้านล่างเพื่อรอการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่

เราพร้อมบริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง!

ขอบคุณข้อมูลจาก :  กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.NEWS

รถของคุณผ่อนหมดแล้วหรือยัง?
หมายเหตุ ผ่อนรถอยู่ก็ขอกู้ได้ เพียงคุณมีประวัติชำระที่ดี … เงินติดล้อก็รับ
กรุณากรอกชื่อภาษาไทย
กรุณากรอกนามสกุลภาษาไทย
กรุณากรอกเฉพาะตัวเลข

การกดยืนยันข้อมูล แสดงว่าคุณอ่านและรับทราบ นโยบายความเป็นส่วนตัว เรียบร้อยแล้ว กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 14 - 24% ต่อปี

เงินติดล้อ

บทความโดย

เงินติดล้อ

ผู้มุ่งหวังให้สังคมไทยมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น