หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร

ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร

ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร

เมื่อเราเข้าใจว่าแบรนด์ไม่ได้เป็นเพียงโลโก้หรือสัญลักษณ์
บางอย่างที่ลูกค้าจดจำได้ แต่แบรนด์คือความรู้สึก หรือความ
ประทับใจที่เกิดขึ้นกับคนเมื่อได้สัมผัสกับชาวเงินติดล้อ
ในทุกๆ พื้นที่เราก็จะเข้าใจว่า “วัฒนธรรมคือแบรนด์” และ
“แบรนด์คือวัฒนธรรม”

7 ล้อ Core Values

เพราะเราเชื่อในความสำเร็จที่ยั่งยืน กำไรของเราจึงเป็นคำตอบที่ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เราได้ สังคมก็ต้องได้ เพราะเป้าหมายของเรา คือการเป็นองค์กรที่ดีกว่า มองไกลกว่า และมีหัวใจมากกว่า เพื่อสังคมที่น่าอยู่กว่า เราทำได้!

เริ่มจากตัวเรา ความสำเร็จของเรามาจากการที่เราได้รับโอกาส โอกาสในการทำงาน โอกาสในการเติบโต โอกาสในการแก้ไข โอกาสในการสร้างสิ่งใหม่ๆ โอกาสในการสร้างโอกาส และโอกาสในการแบ่งปันโอกาส เราก็จะส่งต่อสิ่งเดียวกันนั้นให้เพื่อนร่วมงานของเรา ผลที่ได้คือ องค์กรของเรา กลายเป็นองค์กรที่เราอยากอยู่ มีความสุขที่จะอยู่ และภูมิใจที่ได้อยู่

แล้วเราก็ไปช่วยกันส่งต่อ ไปช่วยกันสร้างโอกาส ไปแบ่งปันโอกาสให้กับคู่ค้า ลูกค้า ชุมชนของเรา และสังคมของเรา เพราะเรามองได้ไกลกว่าผลประโยชน์ที่เป็นแค่ตัวเงิน

เราจึงให้โอกาสลูกค้าของเราได้ต่อชีวิตอย่างเป็นธรรม เราจึงช่วยกันคิดค้นหาวิธีที่จะให้โอกาสพวกเค้าเปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น เราช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้างสังคมที่เราอยากเห็น อยากอยู่ เราจึงเป็นมากกว่าพนักงานตอกบัตร หรือทุ่มเททำเป้าเพื่อเงินเดือนขึ้นและโบนัสมากมายปลายปี เพราะเราไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเรา เราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นแหล่ะความสำเร็จที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

จิตวิญญาณความเป็นเจ้าของนี้ ไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือไสยศาสตร์ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก มันจึงแปลออกมาง่ายๆ ว่า เรารู้สึกว่าบริษัทนี้เป็นของเรา..ของพวกเรา

ความรู้สึกแบบนี้มาจากไหน? มันจะเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อเรารู้สึกรักงานของเรา และรู้สึกรักองค์กรของเรา ของพวกเรา พอเรารักสองอย่างนี้ปุ๊บ! ทุกการตัดสินใจของเรา เราจะกระทำบนความคิดว่า “นี่บริษัทของเรา” ไปเอง อะไรที่ดีเราทำ อะไรไม่ดี เราไม่ทำ เมื่อเกิดปัญหา เราไม่หันหลังหนี แต่เราช่วยกันเดินหน้าหาวิธีแก้ไข ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะใช้กฎ ระเบียบ หรือนโยบายอะไรมาวัด เราก็ใช้หลักการพื้นฐานอันนี้เป็นตัววัด คือหลักการที่ว่า “นี่บริษัทของเรา” “นี่มันเงินของเรา” คิดปั๊บ! เราก็มักจะตัดสินใจได้ถูกต้องขึ้น อันนี้ขอยืนยัน

ปล. ความรักในองค์กรนี้ ไม่ต่างจากความรักแฟน มันต้องค่อยๆ สร้าง มันต้องเริ่มจากถูกใจเราก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มไปทีละนิด พัฒนาไปทีละหน่อย อย่ารีบ ถ้ารีบไม่ใช่รักแท้ กรณีที่เข้าร่วมปั๊บรักเลย อาจพบเจอในบางครั้ง เราเรียกกันว่ารักแรกพบ

มันคือมือหลายพันมือและใจหลายพันใจ เรามาได้ไกลขนาดนี้และจะไปอีกไกลขนาดไหน ก็อยู่ที่มือทุกมือ และใจทุกใจของพวกเราทุกคน ย้ำ! มือทุกมือและใจทุกใจ ประเภทศิลปินเดี่ยวหรือที่นี่ใครใหญ่ เราไม่มี

ที่นี่ เราไม่มีใครคิดว่า เราเป็นเพียงบุคลากรตัวเล็กๆ จะมีเรา หรือไม่มีเราก็ได้ เพราะที่นี่ เราเน้นความร่วมมือ ความจริงใจ ตรงไปตรงมา เราจึงรับฟังทุกเสียง เราจึงเคารพและให้เกียรติทุกคน ตราบใดที่เสียงนั้น เคารพ ให้เกียรติ จริงใจ ตรงไปตรงมา และฟังเสียงคนอื่นเช่นกัน

เราเชื่อในคำว่า “เรา” เพราะมันหมายถึงทั้งส่วนรวม ส่วนร่วม และส่วนเรา เราจึงเชื่อมั่น เชื่อใจ และไว้ใจกันเสมอ เรารู้...ว่าเราจะไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กหรือใหญ่ เพราะมันคือปัญหาของ “พวกเรา” ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง

เราจึงไม่ลืมมือทุกมือ และใจทุกใจที่ช่วยกันผลัก ช่วยกันดัน ช่วยกันดึงเมื่อล้มลุกคลุกคลาน และช่วยกันปรบมือเมื่อประสบความสำเร็จ พวกเราคือทีมที่เจ๋งจริงๆ เนอะ!

ซื่อสัตย์คือหัวใจ เพราะเราทำธุรกิจการเงิน ความซื่อสัตย์เริ่มต้นที่ตัวเรา สิ่งที่ใช่ ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ เราก็ทำ สิ่งที่ไม่ใช่ ไม่ว่าคนทำจะใหญ่แค่ไหนเราก็จะแย้ง นี่นอกจากจะซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้ว เรายังซื่อสัตย์ต่อคนอื่นด้วย

ผลที่เกิดจากความซื่อสัตย์ คือความจริงใจ มันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ความซื่อสัตย์และจริงใจเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน มันจะทำให้เรากล้าพูด กล้าคิดดังๆ กล้าโต้แย้ง เสร็จแล้วจบ! ไม่ใส่หัวไปคิดต่อ เพราะเราจริงใจและพูดจากใจจริง เรารู้ว่าการโต้แย้งกันนั้นก็เพื่องาน เราจึงไม่ระแวงกัน เราจึงไว้ใจ พอไว้ใจมากๆ เข้า เราก็จะเชื่อใจกันและรู้สึกเป็นกันเองต่อกันในที่สุด

ชีวิตเราก็จะเรียบง่ายขึ้นด้วย เพราะเราหนึ่งคนมีแค่หน้าเดียว มาทำงานทุกเช้าไม่ต้องพกมาสองหน้าสามหน้า พอเรามีคนหน้าเดียวมากๆ เข้า พวกหลายหน้าจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ถ้าไม่โดนความจริงใจของเราแทรกซึมเข้าไป ก็มักจะแพ้ภัยลาจากไปเอง

การทำงานก็จะคล่องตัวขึ้นตามมา เพราะเมื่อเราซื่อสัตย์ จริงใจ และเป็นกันเองต่อกัน มันก็จะตัดกระบวนการและวิธีการที่ไม่จำเป็นในการทำงานออกไปเกือบหมด เหลือแต่งานล้วนๆ ให้พวกเราทำ ลูกค้าก็เช่นกัน เมื่อเราซื่อสัตย์ จริงใจ เป็นกันเอง ไม่สร้างภาพ ลูกค้าย่อมสัมผัสได้ และเมื่อไหร่ที่ลูกค้ามีปัญหา เค้าจะรู้เลยว่า เค้าอยากจะมาหาใคร

ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหน แต่เราก็ยังเชื่อว่า เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราเก่งพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรใหม่แล้ว เมื่อนั้นแหละ เราจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อัพเดทไม่ได้ และไปต่อไม่ได้ในที่สุด

เราจึงไม่เคยพึงพอใจในความเก่งกาจของเรา เราจึงเป็นพวกเปิดใจกว้างมาก เวลาใครพูดถึงอะไรใหม่ๆ เราจึงตั้งใจฟัง สิ่งใดที่ก่อให้เกิดปัญญา เราเก็บใส่ลิ้นชักไว้ใช้วันข้างหน้าทันที แม้แต่ในวันที่เราคิดอะไรใหม่ๆ เจ๋งๆ ได้ พอเสียงชื่นชมเงียบลง เราก็จะครุ่นคิดต่อไป ว่ามันจะดีกว่านี้ได้ยังไงอีก

กรณีที่เราไม่เก่งมาก เราไม่นั่งรอให้บริษัทจัดอบรมอย่างเดียว เราเลือกสนทนากับคนเก่งกว่าระหว่างเวลาว่างๆ หรืออาหารกลางวัน เราถามกู๋ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเพิ่ม แล้วเอามาต่อยอดกับเพื่อนเก่งๆ เพราะเราไม่อายที่เราไม่รู้ เราจะอายก็ต่อเมื่อเราไม่เรียนรู้ เรายกมือขอพูด พูดไม่ได้เรื่องก็ไม่เป็นไร เราเรียนรู้แล้วพูดใหม่ ใครพูดเก่งเราแอบสังเกตแล้วไปซุ่มฝึกซ้อมที่กระจกบ้านเรา เรื่องเก่งเราอาจจะไม่มาก แต่เรื่องพยายามนี่เราไม่เป็นรองใคร

ถ้าเราสายหวานเย็น เราก็ใช้เคล็ดลับที่เพื่อนบอก คือเราตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งรายเดือน รายสามเดือนและรายปี ว่าเราอยากเรียนรู้เรื่องอะไร (อย่าลืม หันซ้ายหันขวามองเพื่อนด้วยว่าไปถึงไหนกันแล้ว) เดี๋ยวรอดูเซอร์ไพรส์จากเราละกัน

เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ และเราก็ไม่เคยพึงพอใจอยู่เพียงแค่การปรับตัวให้ทัน มันไม่เร้าใจ! เราชอบที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรมนี้ด้วยมือของพวกเราเอง เราจึงชอบเวลาความคิดใหม่ๆ ผุดขึ้นมาในใจเรา และเราก็ไม่ชอบคิดคนเดียว เราคิดกันดังๆ ให้ทุกคนได้ยิน จะได้ช่วยกันคิดต่อ แล้วก็เดินหน้าไปทดลองกันซักตั้ง ว่ามันเวิร์คมั้ย?

อ้าว! พัง! พังก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เราเรียนรู้ว่าพังตรงไหน แล้วไม่พังซ้ำ แล้วเดี๋ยวเราก็คิดใหม่อีก หรือไม่ก็ใครซักคนติดหัวกลับไปคิดต่อที่บ้าน แล้วกลับมายืนยันว่ามันเวิร์ค เรายิ่งสนุกกันใหญ่ เพราะความคิดจะขยายวงไปสู่หน่วยที่สามารถจะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นความจริงได้

เราจึงเป็นพวกช่างสังเกต ทั้งสังเกตลูกค้า สังเกตความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สังเกตสังคม สังเกตโลก สังเกตคู่แข่ง แล้วก็คอยมองหาจุดที่เรามีโอกาสจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ หรือวิธีการทำงานใหม่ๆ เราต้องได้เอามาคิด เอามาลอง

ต่อให้สิ่งที่เราคิด มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกก็ไม่เป็นไร เพราะเป้าหมายเราไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น แต่เป้าหมายเราคือการได้คิด ได้ลอง และได้ภูมิใจ ที่มันได้ช่วยให้ชีวิตใครซักคนง่ายขึ้น (บางคนบอกดีขึ้นด้วย...ใจเราพองโต)

ไม่ใช่ความเชื่อที่ว่า เราควรทำงานไม่ลืมหูลืมตาจนอาจตายคาโต๊ะ และถ้ารอดมาได้ จึงมาปาร์ตี้จนอาจตายคาแก้ว

แต่ถ้าเราทำงานโดยมี DNA เงินติดล้อครบทุกข้อ ยอมรับความแตกต่างของกัน วางแผน เรียงลำดับความสำคัญและใช้ข้อมูลมหาศาลที่เรามีอย่างชาญฉลาด เราจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่า การทำงานหนักนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสร้างบรรยากาศในการทำงานที่สนุกได้

ถ้าเรื่องงานยังเต็มที่ขนาดนี้ เรื่องปาร์ตี้ก็ขอให้ไว้ใจพวกเรา เอ้า...ชน!!!

Piyasak Ukritnukun
For me, a brand is the feeling.

สำหรับผมแบรนด์คือความรู้สึก

ถ้าผู้บริหารและพนักงานทุกคนมีค่านิยมเหมือนกัน ทุกคนจะมีความคิดและพฤติกรรมคล้ายกันสิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมเป็น Brand DNA,

ที่จะสะท้อนแบรนด์ ไปสู่ความรู้สึกของลูกค้า

และสร้างความแตกต่างระหว่างแบรนด์ เงินติดล้อและคู่แข่งได้ชัดเจนและยั่งยืน เพราะวัฒนธรรมองค์กรใช้หัวใจเป็นตัวนำ
For me, a brand is the feeling.
ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่

เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร

โครงการ TIDLOR Culture Camp

โครงการ TIDLOR Culture Wow

เปิดบ้านต้อนรับองค์กรต่างๆ ให้มาเยี่ยมชมและศึกษาการสร้าง
วัฒนธรรมองค์กรในบรรยากาศที่เป็นกันเองแบบชาวเงินติดล้อ
พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การสร้าง
วัฒนธรรมจากบริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วม
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม