การถูกปฏิเสธสินเชื่ออาจทำให้หลายคนรู้สึกท้อใจและกังวลว่า สมัครสินเชื่อไม่ผ่านเพราะอะไร แล้วจะต้องทำยังไงต่อไป แต่ไม่ต้องห่วงครับ การขอสินเชื่อไม่ผ่านไม่ใช่จุดจบเสมอไป บทความนี้ เงินติดล้อจะมาเจาะลึก 7 สาเหตุสำคัญที่มักทำให้กู้ไม่ผ่าน พร้อมแนะนำวิธีขอสินเชื่อให้ผ่านอย่างถูกจุด เพื่อให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมและประสบความสำเร็จในการยื่นกู้ครั้งต่อไปครับ
1. รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ หรือไม่สอดคล้องกับภาระหนี้
เรื่องรายได้และหนี้สินเป็นปัจจัยแรกที่สถาบันการเงินจะพิจารณาครับ เพราะเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ของคุณโดยตรง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้คุณขอสินเชื่อไม่ผ่านได้จาก 2 กรณีหลักๆ ดังนี้
เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำไม่เพียงพอ
สินเชื่อแต่ละประเภทมักกำหนดฐานเงินเดือนหรือรายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครไว้แตกต่างกัน หากรายได้ของคุณต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกปฏิเสธตั้งแต่แรก วิธีขอสินเชื่อให้ผ่านในเบื้องต้นคือ ควรตรวจสอบคุณสมบัติของสินเชื่อที่สนใจให้ดีก่อนยื่นสมัคร เพื่อเลือกสินเชื่อที่สอดคล้องกับรายได้ของคุณมากที่สุด จะได้ไม่เสียเวลาและไม่เสียประวัติในการยื่นกู้ครับ
มีภาระหนี้ต่อรายได้สูงเกินไป (DSR)
ต่อให้รายได้ถึงเกณฑ์ แต่ถ้ามีภาระผ่อนหนี้อื่นๆ อยู่แล้วเยอะเกินไป ก็อาจกู้ไม่ผ่านได้เช่นกันครับ สถาบันการเงินจะประเมินสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt-to-Service Ratio: DSR) โดยทั่วไปแล้วยอดผ่อนหนี้ทั้งหมดของคุณไม่ควรเกิน 40-60% ของรายได้ต่อเดือน เพราะหากสูงกว่านั้นจะถูกมองว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะหมุนเงินไม่ทันและอาจผิดนัดชำระหนี้ในอนาคตได้ครับ
2. เอกสารไม่ครบถ้วน หรือข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน
การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนตามที่สถาบันการเงินร้องขอเป็นหัวใจสำคัญของการสมัครสินเชื่อ เพราะเอกสารเหล่านี้คือหลักฐานยืนยันตัวตน รายได้ และความมั่นคงทางการเงินของคุณ หากขาดเอกสารสำคัญชิ้นใดชิ้นหนึ่งไป กระบวนการพิจารณาจะหยุดชะงักและอาจถูกปฏิเสธในที่สุด
ตัวอย่างเอกสารขอสินเชื่อสำคัญที่ควรเตรียมให้พร้อม
เพื่อให้การสมัครสินเชื่อของคุณราบรื่น ลองตรวจสอบเอกสารสำคัญเหล่านี้ดูนะครับ
- เอกสารยืนยันตัวตน : สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน (ฉบับล่าสุด)
- เอกสารแสดงรายได้ : สลิปเงินเดือน (คาร์บอน) หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (อายุไม่เกิน 1-2 เดือน), รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) 3-6 เดือน
3. มีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี
ประวัติทางการเงินเปรียบเสมือน “สมุดพก” ที่บันทึกพฤติกรรมการชำระหนี้สินเชื่อทั้งหมดของคุณครับ สถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความน่าเชื่อถือ และวินัยทางการเงิน ก่อนตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ
หากในบันทึกดังกล่าวมีข้อมูลว่าคุณเคย ชำระล่าช้าบ่อยครั้ง หรือมีสถานะ “ค้างชำระ” อยู่ ก็จะส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของคุณลดลง และถูกมองว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่านครับ
ดังนั้น วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือการกลับไปจัดการหนี้สินที่ยังค้างอยู่ให้เรียบร้อยเป็นปัจจุบัน และเริ่มสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีขึ้นใหม่ ด้วยการชำระคืนหนี้ให้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อฟื้นฟูความน่าเชื่อถือทางการเงินของคุณให้กลับมาอีกครั้งครับ
4. ไม่มีประวัติเครดิตเลย
เรื่องนี้อาจจะฟังดูแปลก แต่เป็นเรื่องจริงครับ การที่ไม่เคยมีประวัติการกู้ยืมเงินหรือผ่อนชำระอะไรเลย หรือที่เรียกว่า “เครดิตขาวสะอาด” อาจทำให้การขอสินเชื่อไม่ผ่านได้เช่นกัน เหตุผลก็เพราะสถาบันการเงินไม่มีข้อมูลในอดีตเพื่อใช้วิเคราะห์พฤติกรรมและวินัยทางการเงินของคุณ ทำให้ประเมินความเสี่ยงได้ยาก การสร้างประวัติเครดิตที่ดีอาจเริ่มจากการมีบัตรเครดิตสักใบแล้วใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น พร้อมชำระคืนเต็มจำนวนและตรงเวลาเสมอ ก็จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือทางการเงินได้ครับ
5. เคยมีประวัติเป็นบุคคลล้มละลาย
การถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือเป็นบุคคลล้มละลาย ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่านอย่างแน่นอนครับ เพราะตามกฎหมายแล้ว ผู้ที่อยู่ในสถานะบุคคลล้มละลายจะไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินหรือก่อหนี้สินใหม่ได้ คุณจะต้องรอให้พ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลายตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (โดยทั่วไปคือ 3 ปี) จึงจะสามารถกลับมาทำธุรกรรมและยื่นขอสินเชื่อได้อีกครั้ง
6. ยื่นขอสินเชื่อหลายที่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
การยื่นใบสมัครสินเชื่อหลายแห่งในระยะเวลาใกล้เคียงกันอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะทุกครั้งที่คุณยื่นสมัคร สถาบันการเงินจะขอเช็กประวัติทางการเงินของคุณ ซึ่งจะถูกบันทึกไว้ในระบบ การมีประวัติถูกเช็กข้อมูลถี่ๆ อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณอันตรายว่าคุณกำลังร้อนเงินอย่างหนัก หรืออาจถูกปฏิเสธจากที่อื่นมาแล้ว ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงได้ วิธีขอสินเชื่อให้ผ่านในกรณีนี้คือ หากถูกปฏิเสธมาแล้ว ควรเว้นระยะอย่างน้อย 3-6 เดือนเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองก่อนยื่นกู้ใหม่อีกครั้งครับ
7. ไม่สามารถติดต่อเพื่อยืนยันข้อมูลได้
ในกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ เจ้าหน้าที่จะมีการโทรศัพท์ไปยืนยันข้อมูลต่างๆ เช่น การโทรสอบถามข้อมูลการทำงานกับฝ่ายบุคคลของบริษัทคุณ หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดต่อคุณหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันข้อมูลสำคัญได้ ก็อาจเป็นสาเหตุให้ใบสมัครของคุณถูกปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นควรตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ว่าถูกต้องและสามารถติดต่อได้จริงเสมอ
รวมคำถามที่พบบ่อยเมื่อขอสินเชื่อไม่ผ่าน
เมื่อเจอปัญหาขอสินเชื่อไม่ผ่าน ทําไงดี? นอกจาก 7 สาเหตุหลักแล้ว เรายังได้รวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยมาตอบให้หายข้องใจกันตรงนี้เลยครับ
หลังจากถูกปฏิเสธสินเชื่อ ควรเว้นระยะนานแค่ไหนก่อนยื่นใหม่?
แนะนำให้เว้นช่วงอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องและสร้างประวัติทางการเงินให้ดีขึ้นก่อน
การเช็กประวัติทางการเงินของตัวเองบ่อยๆ ทำให้ขอสินเชื่อยากขึ้นจริงไหม?
ไม่จริง การตรวจสอบข้อมูลของตัวเองไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ และยังเป็นผลดีที่ทำให้เรารู้สถานะของตัวเอง
ถ้าธนาคาร A ไม่อนุมัติ หมายความว่าธนาคาร B ก็จะไม่อนุมัติด้วยใช่ไหม?
ไม่เสมอไป เพราะแต่ละสถาบันการเงินมีนโยบายและหลักเกณฑ์การพิจารณาที่แตกต่างกัน
สรุป ขอสินเชื่อไม่ผ่าน ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นโอกาสเริ่มต้นใหม่
การขอสินเชื่อไม่ผ่านอาจทำให้คุณรู้สึกกังวล แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง มันคือโอกาสให้เราได้กลับมาทบทวนและแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าสมัครสินเชื่อไม่ผ่านเพราะอะไร ก็สามารถนำไปปรับปรุงได้อย่างถูกจุด ไม่ว่าจะเป็นการจัดการภาระหนี้ เตรียมเอกสารให้พร้อม หรือสร้างวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การยื่นกู้ครั้งต่อไปของคุณผ่านฉลุยได้อย่างแน่นอนครับ
สำหรับใครที่ต้องการเงินด่วนฉุกเฉิน แต่กังวลเรื่องขั้นตอนที่ซับซ้อน หรือเคยขอสินเชื่อไม่ผ่าน ลองพิจารณาสินเชื่อทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์จากเงินติดล้อ ที่เข้าใจทุกความต้องการทางการเงิน ใช้แค่เล่มทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องใช้คนค้ำ อนุมัติไว รับเงินสดได้ทันที ช่วยให้คุณมีเงินทุนสำรองพร้อมใช้ในยามจำเป็นได้ครับ
ที่มา: NCB