เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอปัญหาใบขับขี่หมดอายุโดยไม่รู้ตัว พอจะหยิบมาใช้อีกทีก็เพิ่งเห็นว่าหมดอายุไปแล้ว ซึ่งสร้างความกังวลใจไม่น้อยเลย เพราะนอกจากจะเป็นเอกสารสำคัญที่ยืนยันว่าเราได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว การปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุยังมีโทษปรับอีกด้วย
แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะเงินติดล้อได้รวบรวมข้อมูลต่อใบขับขี่ฉบับอัปเดตล่าสุด ทั้งเงื่อนไขเรื่องระยะเวลา และขั้นตอนการต่อใบขับขี่แบบเข้าใจง่าย สรุปจบในที่เดียว ให้คุณสามารถไปจัดการต่อใบขับขี่ได้อย่างราบรื่นแน่นอนครับ
ใบขับขี่หมดอายุ มีกี่แบบ ต้องต่อภายในกี่วัน เช็กเลย!
ก่อนจะไปดูขั้นตอนการต่อใบขับขี่ สิ่งแรกที่ต้องรู้คือใบขับขี่ของเราหมดอายุไปนานแค่ไหนแล้ว เพราะเงื่อนไขและขั้นตอนสำหรับแต่ละกรณีจะแตกต่างกันไป มาดูกันเลยว่าคุณเข้าข่ายแบบไหน
กรณีที่ 1 : ต่อล่วงหน้า หรือใบขับขี่หมดอายุไม่เกิน 1 ปี (เช่น ใบขับขี่หมดอายุ 3 เดือน)
สำหรับกรณีนี้ถือว่าโชคดีที่สุดครับ เพราะเป็นกรณีที่ง่ายและไม่ซับซ้อน หากใบขับขี่ของคุณเพิ่งหมดอายุไปไม่นาน หรือยังไม่ถึง 1 ปี คุณจะได้รับการยกเว้นการสอบข้อเขียน และการสอบขับรถใหม่ทั้งหมด เพียงแค่เข้ารับการอบรมออนไลน์ และทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ก็สามารถต่อใบขับขี่ใหม่ได้เลยครับ
กรณีที่ 2 : ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี
หากคุณปล่อยให้ ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี แต่ยังไม่ถึง 3 ปี ความยุ่งยากจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับครับ เพราะนอกจากจะต้องอบรมและทดสอบสมรรถภาพร่างกายแล้ว คุณจำเป็นต้อง “สอบข้อเขียน (ภาคทฤษฎี)” ใหม่อีกครั้ง โดยต้องทำคะแนนให้ผ่านเกณฑ์ 90% หรือตอบถูก 45 ข้อจาก 50 ข้อ ถึงจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ครับ
กรณีที่ 3 : ใบขับขี่หมดอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป
กรณีนี้เป็นกรณีที่ซับซ้อนที่สุดครับ หากใบขับขี่ของคุณหมดอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป จะเปรียบเสมือนการเริ่มต้นทำใบขับขี่ใหม่ทั้งหมด นั่นคือคุณต้องเข้ารับการ “อบรม สอบข้อเขียน และสอบภาคปฏิบัติ” หรือสอบขับรถใหม่ทั้งหมดทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นท่าเทียบฟุตบาท, ท่าถอยเข้าซอง หรือท่าเดินหน้าและถอยหลัง ดังนั้น ควรตรวจสอบวันหมดอายุบนใบขับขี่ของคุณให้ดี จะได้ไม่เสียเวลาทำใหม่ทั้งหมดนะครับ
5 ขั้นตอนต่อใบขับขี่หมดอายุ ฉบับสมบูรณ์
เมื่อรู้แล้วว่าใบขับขี่ของคุณเข้าข่ายกรณีไหน ก็มาเตรียมตัวสำหรับ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการต่อใบขับขี่กันได้เลย
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมเอกสารให้พร้อม
ด่านแรกที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อความรวดเร็วในการติดต่อเจ้าหน้าที่ โดยเอกสารที่ต้องใช้มีดังนี้
- บัตรประชาชนฉบับจริง
- ใบขับขี่ฉบับเดิม
- ใบรับรองแพทย์ ที่ออกให้ไม่เกิน 1 เดือน (ควรขอในรูปแบบมาตรฐานของแพทยสภา)
ขั้นตอนที่ 2 อบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์ ผ่าน DLT e-Learning
ปัจจุบันนี้เราไม่จำเป็นต้องไปนั่งอบรมที่สำนักงานขนส่งแล้วครับ สามารถอบรมและต่อใบขับขี่ออนไลน์ได้ง่ายๆ ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเว็บไซต์ DLT e-Learning ของกรมการขนส่งทางบก โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- ลงทะเบียน : เข้าสู่เว็บไซต์ www.dlt-elearning.com และกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อลงทะเบียน
- เลือกการอบรม : เลือกประเภทการอบรมให้ตรงกับใบขับขี่ของคุณ (เช่น ต่ออายุรถยนต์ส่วนบุคคล 1 ชั่วโมง)
- ดูวิดีโอให้จบ : รับชมวิดีโอการอบรมให้จบโดยห้ามกดข้าม และต้องตอบคำถามระหว่างการรับชมด้วย
- บันทึกหลักฐาน : เมื่ออบรมเสร็จ ให้บันทึกหน้าจอผลการอบรมไว้เป็นหลักฐานเพื่อยื่นต่อเจ้าหน้าที่
ขั้นตอนที่ 3 จองคิวผ่านแอป DLT Smart Queue หรือไปที่สำนักงานขนส่ง
เพื่อความสะดวกและประหยัดเวลา ขอแนะนำให้จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ครับ โดยคุณสามารถเลือกวัน เวลา และสำนักงานขนส่งที่สะดวกได้เลย
แต่หากใครไม่สะดวกจองคิว ก็ยังสามารถ Walk-in เข้าไปติดต่อที่สำนักงานขนส่งได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องรอคิวนานกว่าปกติ ที่สำคัญอย่าลืมเช็กวันทำการของกรมขนส่งทางบกด้วย จะได้ไปไม่เสียเที่ยว
ขั้นตอนที่ 4 ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
เมื่อถึงวันนัดหมาย เจ้าหน้าที่จะเรียกคุณเข้าไปทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งเป็นการทดสอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยมีการทดสอบหลักๆ 4 อย่าง คือ
- ทดสอบการมองเห็นสี (เขียว เหลือง แดง) : เจ้าหน้าที่จะชี้ไปที่สีต่างๆ เพื่อให้เราอ่านสีให้ถูกต้อง
- ทดสอบสายตาทางลึก : เป็นการกดปุ่มเลื่อนแท่งเสา 2 แท่งในกล่องให้มาอยู่ในระนาบเดียวกัน เพื่อทดสอบการกะระยะ
- ทดสอบสายตาทางกว้าง : เราจะต้องมองตรงไปข้างหน้า และบอกสีที่ปรากฏขึ้นที่หางตาทั้งซ้ายและขวา
- ทดสอบปฏิกิริยาเท้า : เป็นการเหยียบคันเร่งให้ไฟติด และสลับไปเหยียบเบรกให้เร็วที่สุดเมื่อเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยน
ขั้นตอนที่ 5 ชำระค่าธรรมเนียม และถ่ายรูปรับใบขับขี่
หลังจากผ่านทุกขั้นตอนแล้ว ก็มาถึงด่านสุดท้ายคือการชำระค่าธรรมเนียม ถ่ายรูปติดบัตร และรอรับใบขับขี่ใบใหม่กลับบ้านได้เลยครับ โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมต่อใบขับขี่รถยนต์จะอยู่ที่ 505 บาท ส่วนอัตราค่าธรรมเนียมต่อใบขับขี่รถจักรยานยนต์จะอยู่ที่ 255 บาท
อัตราโทษปรับ หากปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ ตามกฎหมาย 2568
หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้าขับรถโดยที่ใบขับขี่หมดอายุจะมีโทษอย่างไร ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 หากผู้ขับขี่แสดงใบขับขี่ที่หมดอายุ สิ้นอายุ หรือขาดต่ออายุ จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ดังนั้น การหมั่นตรวจสอบวันหมดอายุและต่อล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็นครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการต่อใบขับขี่หมดอายุ
เงินติดล้อได้รวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการต่อใบขับขี่มาให้แล้วครับ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้กี่เดือน?
คุณสามารถต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน หรือ 180 วัน ก่อนที่ใบขับขี่จะหมดอายุครับ
ใบขับขี่หมดอายุได้กี่เดือน?
หลังจากใบขับขี่หมดอายุแล้ว จะไม่สามารถขับรถได้จนกว่าจะทำการต่อใบขับขี่ใหม่ และจะต้องต่อภายใน 1 ปี นับจากวันหมดอายุ ถึงจะไม่ต้องสอบใหม่
ใบรับรองแพทย์ขอจากคลินิกทั่วไปได้ไหม?
ได้ครับ สามารถใช้ใบรับรองแพทย์จากคลินิก โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต โดยต้องเป็นไปตามรูปแบบมาตรฐานที่แพทยสภากำหนด
หากอบรมออนไลน์เสร็จแล้ว ผลมีอายุกี่วัน?
ผลการอบรมออนไลน์ผ่าน DLT e-Learning จะมีอายุ 90 วัน นับจากวันที่อบรมผ่านครับ
ถ้าสอบข้อเขียนหรือสอบปฏิบัติไม่ผ่าน ต้องทำอย่างไร?
หากสอบไม่ผ่านในขั้นตอนใด สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอลงทะเบียนสอบแก้ตัวใหม่ได้ในวันถัดไป หรือตามวันที่เจ้าหน้าที่นัดหมาย โดยจะมีเงื่อนไขการสอบแก้ตัวตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดครับ
สรุป อย่าปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ วางแผนต่อล่วงหน้าสะดวกที่สุด
การปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ อาจสร้างความยุ่งยากและเสียเวลามากกว่าที่คิดเห็น ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการวางแผนต่ออายุใบขับขี่ล่วงหน้า เพราะขั้นตอนไม่ซับซ้อน และยังสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้เกือบทั้งหมด ช่วยให้คุณใช้รถใช้ถนนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าปรับ และยังแสดงถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้ขับขี่ที่ดีอีกด้วย
หากในช่วงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องสำคัญต่างๆ เกิดมีเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินด่วน การมีรถยนต์ก็สามารถช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้คุณได้ โดยที่เงินติดล้อ เรามีบริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ที่ให้วงเงินสูง อนุมัติไว ไม่ต้องโอนเล่ม ช่วยให้คุณมีเงินทุนสำรองไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ทำให้ทุกการวางแผนในชีวิตราบรื่นไม่มีสะดุดครับ